วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

[รีวิว] OPPO N3 โทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นเอี่ยมอ่องกล้องม้วนได้ 206 องศา

[รีวิว] OPPO N3 มือถือกล้องหมุนได้ รุ่นต่อยอด ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ที่หมุนได้ 206 องศา พร้อมความปลอดภัยอีกขั้น ด้วยระบบสแกนลายนิ้วมือ
src=http://p3.isanook.com/hi/0/ud/278/1394101/oppo_n31.jpg
ถ้าแม้ถามถึง สมาร์ทโฟนรุ่นเรือธง ที่น่าจับตามองมากที่สุด ณ ชั่วโมงนี้ คงจะต้องมีชื่อของ OPPO N3 กันอย่างแน่นอน
เพราะว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ คือรุ่นสานต่อของ OPPO N1 ที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของ มือถือกล้องหมุนได้ นั่นเอง ซึ่ง OPPO N3 ถือว่า ล้ำหน้ากว่า OPPO N1 ในหลายๆ จุดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น กล้องด้านหลัง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ Dual-LED คมชัดมากขึ้นกว่าเดิม
รอบรู้หมุนใช้งานเป็นกล้องด้านหน้าได้ เพราะหมุนได้ถึง 206 องศาระบบสแกนลายนิ้วมือด้านหลังตัวเครื่อง สามารถจดจำลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ, อุปกรณ์สั่งงานแบบไร้สายที่มีชื่อว่า O-Click Control, หน้าจอแสดงผลกว้าง 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD (1080p), หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 2.3 GHz และ ระบบปฏิบัติการ Color OS
นอกจากนี้ ยังชาร์จแบตเตอรี่ได้ไวขึ้น ด้วยเทคโนโลยี VOCC ด้วยการชาร์จเช่น 5 นาที อาจใช้คุยโทรศัพท์ได้นานถึง 2 ชั่วโมง หรือไม่ชาร์จแค่ 30 นาที แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นถึง 75% และรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดอีกด้วย
เรียกได้ว่า OPPO N3 มาพร้อมกับคุณสมบัติที่อัดแน่น ครบครันทุกการใช้งาน กับค่าเปิดตัวที่ 19,990 บาทซึ่งจะคุ้มค่าต่อการใช้งานไม่ใช่หรือไม่ ในวันนี้เราจักมาพิสูจน์ไปพร้อมๆ กันกับบทความ รีวิว OPPO N3 เพราะว่าคณะงาน techmoblog ครับ
สเปค OPPO N3
• จอแสดงผลกว้าง 5.5 นิ้ว แบบ TFT LCD Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล (403 ppi)
• หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Processor (Qualcomm Snapdragon 801 MSM8974AA chipset) ความเร็ว 2.3 GHz
หน่วยประมวลผลภาพ Adreno 330 GPU
• RAM ขนาด 2 GB
• หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 32 GB รองรับ microSD Card สูงสุด 128 GB
• รันระบบปฏิบัติการ Color OS เวอร์ชัน 2.0 ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 4.4.4 (KitKat)
• กล้องด้านหลัง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ Dual-LED โดยโมดูลกล้อง รอบรู้หมุนได้ 206 องศา พร้อมด้วยใช้งานเป็นกล้องด้านหน้าได้
• แบตเตอรี่ Li-ion 3000 mAh
• รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด
>> สเปค OPPO N3 อย่างละเอียด คลิกที่นี่
รีวิว OPPO N3 : ดีไซน์ พร้อมด้วยการออกแบบ
src=http://p3.isanook.com/hi/0/ud/278/1394101/oppo_n32.jpg
OPPO N3 มาพร้อมหน้าจอแสดงผลกว้าง 5.5 นิ้ว แบบ TFT LCD Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล (403 ppi) ซึ่งถือว่า มีขนาดหน้าจอเล็กกว่า OPPO N1 ที่มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 5.9 นิ้ว เล็กน้อย แต่มีข้อดีคือ อาจจะพกพาได้สะดวกมากขึ้น พร้อมกับมีน้ำหนักที่เบากว่า เพราะน้ำหนักของตัวเครื่อง OPPO N3 อยู่ที่ 192 กรัม
src=http://p3.isanook.com/hi/0/ud/278/1394101/oppo_n33.jpg
src=http://p3.isanook.com/hi/0/ud/278/1394101/oppo_n34.jpg
ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย Proximity Sensor เพราะว่าการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน, Ambient Light Sensor เกี่ยวกับตรวจวัดความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอกับแผงปุ่มกดให้เหมาะสม และลำโพงด้วยสนทนา ซึ่งอาจจักหมุนกล้องด้านหลัง มาเป็นกล้องด้านหน้าได้ ความละเอียดอยู่ที่ 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ Dual-LED เพราะว่าตัวกล้องสามารถหมุนได้ถึง 206 องศา บุด้วยหนังเทียม ทำให้ดูหรูหราไปอีกระดับ
src=http://p3.isanook.com/hi/0/ud/278/1394101/oppo_n35.jpg
ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ปุ่มควบควบคุมการทำงานแบบสัมผัส 3 ปุ่มหลัก ได้แก่ ปุ่มเมนู, ปุ่ม Home พร้อมทั้งปุ่มย้อนกลับ
src=http://p3.isanook.com/hi/0/ud/278/1394101/oppo_n36.jpg
Skyline Notification 2.0 แสงแจ้งเตือนจะปรากฏขึ้นปางได้รับการแจ้งเตือนต่างๆ เช่น มีสายที่ไม่ได้รับ, มีข้อความที่ไม่ได้อ่าน, แจ้งเตือนเมื่อแบตเตอรี่อยู่ในระดับต่ำ พร้อมด้วยคราวมีการชาร์จแบตเตอรี่
src=http://p3.isanook.com/hi/0/ud/278/1394101/oppo_n37.jpg
เนื่องด้วยขอบตัวเครื่องบน OPPO N3 นั้น ทำจากวัสดุอะลูมิเนียม อัลลอยด์ ซึ่งมีความแข็งแรงทนทาน โดยด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่มปรับระดับเสียง ด้วยกันช่องหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตร ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ถาดใส่ซิมการ์ด, ปุ่ม Power ด้วยว่าเปิด-ปิดตัวเครื่อง ไม่ใช่หรือล็อคหน้าจอแสดงผล พร้อมกับพอร์ต microUSB
src=http://p3.isanook.com/hi/0/ud/278/1394101/oppo_n38.jpg
OPPO N3 รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดภายในเครื่องเดียว เพราะว่าช่องซิมการ์ดที่ 1 รองรับซิมการ์ดแบบ microSIM ส่วนช่องซิมการ์ดที่ 2 รองรับซิมการ์ดแบบ nanoSIM และเป็นช่องเพราะหน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card ด้วย (รองรับสูงสุด 128 GB) ซึ่งจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งครับ (ถ้าต่างว่าเร่ำลือกใส่ microSD Card ก็จะไม่อาจจะใส่ซิมการ์ดได้)
src=http://p3.isanook.com/hi/0/ud/278/1394101/oppo_n39.jpg
ด้านบนของตัวเครื่อง ไม่มีปุ่มควบคุมการทำงานใดๆ ส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง เป็นไมโครโฟนตัวหลักเหตุด้วยสนทนา พร้อมทั้งลำโพงเสียง
src=http://p3.isanook.com/hi/0/ud/278/1394101/oppo_n310.jpg
src=http://p3.isanook.com/hi/0/ud/278/1394101/oppo_n311.jpg
กรอบด้านหลังของ OPPO N3 เป็นวัสดุผิวเรียบลื่น ประกอบไปด้วย กล้องด้านหลัง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ Dual-LED, ไมโครโฟนตัวที่สองเพราะตัดเสียงรบกวนรอบข้าง, โลโก้ OPPO พร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือ ที่ทำเป็นจดจำลายนิ้วมือได้สูงสุดถึง 5 ลายนิ้วมือด้วยกัน ส่วนกล้องด้านหลังนั้น อาจจะหมุนสลับไปเป็นกล้องด้านหน้าได้
src=http://p3.isanook.com/hi/0/ud/278/1394101/oppo_n312.jpg
O-Click รีโมตด้วยว่าควบกำกับการสั่งงานบน OPPO N3 โดยถูกออกแบบให้มีขนาดเล็ก พร้อมช่องเพราะใส่สายคล้อง หรือไม่คล้องกับพวงกุญแจ ช่วยให้เป็นได้พกพาได้สะดวกขึ้นนั่นเองครับ
ส่วนคุณสมบัติของ O-Click ก็ได้แก่ เป็นรีโมตในการควบกำกับการถ่ายรูป ทั้งการหมุนกล้อง กับการชัตเตอร์, กด O-Click สองครั้งเพื่อให้โทรศัพท์ดัง และมีระบบแจ้งเตือน ตราบสมาร์ทโฟนอยู่นอกสาบานณของ O-Click
ข้อควรทราบ: “เครื่อง OPPO N3 ที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเท่าเครื่องทดลองจากทาง ออปโป้ เท่านั้น ยังไม่ใช่เครื่องที่วางจำหน่ายจริงแต่อย่างใด ก็เพราะว่าฉะนั้นตัวเครื่อง เหรอฟังก์ชันการทำงานบางอย่างอาจจักยังไม่สมบูรณ์ 100% เหมือนกับเครื่องที่วางจำหน่ายครัน”

ที่มา: http://hitech.sanook.com/1394101/

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

ชีพวงศาคณาญาติถูกทำลายล้างด้วยเทคโนโลยี

ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ทันระยะเวลามากขึ้น ทำให้สมาร์ทโฟนกลายมาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการใช้ชีวิตของคนในปัจจุบัน ทำให้ส่งผลไปถึงพฤติกรรมในการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
ซึ่งวันนี้เราก็ได้หยิบเอาอีกหนึ่งตัวอย่างการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของ คุณ สมาชิกหมายเลข 1950451 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่เกิดเหตุการณ์กับตัวเองมาฝากกัน
สวัสดีครับ ก่อนจักเล่าเรื่องราวของครอบครัวผม ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจก่อนซักนิดครับ
- ผมเป็นคนที่ใช้ Pantip เป็นประจำ แต่ล็อคอินนี้ผมสมัครใหม่ เพราะไม่ต้องการให้ใครรู้จักตัวแน่แท้ครับ
- พอผมโพสต์แล้ว ล็อคอินนี้ผมจะไม่กลับมาใช้อีก ดังนั้นผมจึงไม่ขอตอบอะไรทั้งสิ้นครับ
- ข้อมูลบางอย่างที่เป็น Fact ผมอาจขอปรับบ้าง เช่นถ้าผมหมายว่าผมสูง 170 ข้อมูลยิ่งอาจเป็น 185 เพื่อไม่ให้คนที่รู้จักตัวผมมาอ่านแล้วรู้ว่าเป็นผม แต่เรื่องราวทั้งหมด จักยังคงอยู่ตามเดิม
- อ่านให้เป็นนิยายแล้วกันครับ ผมแค่มุ่งหมายระบายเท่านั้นเอง
ถ้าเข้าใจตรงกันแล้ว ขอเริ่มต้นเลยก็แล้วกันครับ
ผมกับแฟน คบกันมาตั้งแต่เรียนปี 2 คบกันมาเรื่อยๆจนเรียนจบ ต่างคนต่างทำงานได้ซัก 3-4 ปี ก็ปลงใจแต่งงานกัน เพราะผมเองยอมรับโดยตรงว่า ผมมีความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งกับเค้าเป็นคนแรก ถึงแม้จะเคยมีแฟนมาก่อนก็ตาม พร้อมทั้งผมก็มั่นใจว่า ผมก็เป็นคนแรกของแฟนผมเช่นกัน
ผมรักเค้ามากครับ รักจนทำเป็นยอมได้ทุกอย่าง เพราะว่าเค้าเป็นคนดีมากครันๆ ช่วงชีวิตตกต่ำของผมจะมีขนาดไหน เค้าก็อยู่กับผมตลอด ผมจึงต้องพยายามทำทุกอย่างให้เค้ามีความสุข ผมแต่งกับเค้าได้คาดคะเน 2 ปี ก็เปิดม่านมีลูกคนแรก ชีวิตก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะชีวิต Sex ของเราบุกเบิกเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะแฟนผมเค้ามีความต้องการน้อยลง เวลาผมต้องการเค้าจักไม่ยอมตลอด
ช่วงนั้นมีคร่าวๆเดือนละครั้งเอง ผมก็ยอมเค้า เวลาผมมีอารมณ์ ก็เลือเลื่องกวิธีการช่วยตัวเอง เพราะคิดว่าเค้าคงเหนื่อยกับงานด้วยกันการเลี้ยงลูก เลยไม่ปรารถนาให้เค้าหงุดหงิดอีกครับ
พอลูกขึ้นต้นโตใกล้เข้าโรงเรียน ผมกับเค้าก็ซื้อ iPhone4 กันคนละเครื่อง เพราะที่ไม่เคยรู้เลยว่า มันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ชีวิตครอบครัวผมพังได้ ผมใช้มากันได้ซักพัก มันก็มีแอพ Find my iPhone ออกมา ผมก็จัดการลงแอพนี้ไว้ทั้ง 2 เครื่องเพราะว่าที่แฟนผมไม่รู้ กับที่สำคัญ เค้าเป็นคนไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้เลย แอคเค้าท์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Line หรือ Apple ID ผมจัดการให้หมด ขนาด Password เองเค้ายังไม่รู้เลยครับ ซึ่งหมายความว่า ถ้าผมต้องการรู้เท่าที่ไหร่ว่าแฟนผมอยู่ที่ไหน ผมก็เปิด Find my iPhone แล้ว Login เครื่องเค้า ผมก็รู้ทันทีว่าอยู่ที่ไหนครับ
อีกไม่กี่ปีต่อมา ผมก็มีลูกกันอีกคน แล้วแฟนผมก็ทำหมันเลย ก็เพราะว่าเราคิดกันว่ามีแค่ 2 คนก็พอแล้วเพราะรายได้ของเรา 2 คน ชีวิตรักด้วยกันชีวิตครอบครัวก็ดูจักสมบูรณ์ขึ้น แต่ละวันผมมีความสุขมากครับ เพราะลูกทั้ง 2 คนก็น่ารัก พร้อมด้วยกับแฟนก็รักกันดีตลอด ถึงแม้จักทะเลาะกันบ้าง แต่ก็ผลัดกันง้อมาเรื่อย จนทำให้ผมคิดว่าในโลกนี้คงไม่มีใครมีความสุขกว่าผมได้อีกแล้วครับ
แต่กลายเป็นว่า ผมคิดผิดแล้วครับ ขึ้นต้นจากหลังคลอด แฟนผมกลับมาตั้งต้นมีอารมณ์มากขึ้น เราก็มี Sex กันได้บ่อยขึ้น จากก่อนหน้านี้เดือนละครั้ง กลายเป็นอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง กับหลายๆครั้งเค้าเป็นคนโหมโรงก่อนด้วยครับ ก็ดูมีความสุขดี
แต่ช่วงต้นปีนี้ ผมเปลี่ยนงานใหม่เพื่อรับเงินเดือนที่สูงขึ้น เพื่ออยากได้ให้ครอบครัวสบายขึ้น แต่แน่นอนว่าต้องแลกมากับงานที่มากขึ้น กลับบ้านช้ากว่าเดิม บางครั้งถึงบ้านแล้ว พอกล่อมลูกเข้านอนเสร็จ ก็ต้องมานั่งทำงานต่อ เวลาแฟนผมมีอารมณ์ ผมก็มีไม่ได้ ก็เพราะว่ามันเหนื่อยด้วยกันบางครั้งงานก็ไม่เสร็จ เค้าก็หงุดหงิดไปหลายครั้ง แต่ผมก็พยายามปลอบเค้าว่า เพื่ออนาคตของลูกที่ดี ก็ต้องยอมแลกบ้างนะ เค้าก็โอเคเข้าใจดี
มาถึงช่วงกลางปีที่สร้างผ่านมา ช่วงคะเนบ่ายๆ ผมโทรหาเค้า จักชวนกินข้าวตอนเย็น ก็เพราะว่างานน่าจักเสร็จเร็ว แต่เค้าไม่รับสาย เลยลอง Login เข้า Find my iPhone เพื่อเช็คว่าเค้าอยู่ที่ไหน เพราะว่าเค้าทำงานเป็น AE หาลูกค้าบ่อยๆ
ปรากฏว่าตำแหน่งของแฟนผม มันไปอยู่ในที่ๆแปลกจากครั้งก่อนๆ ผมก็ดูตำแหน่งแล้วเอาไปเปรียบกับ Google Maps แล้ว มันบอกให้ทราบว่า เป็นโรงแรมแห่งนึงบนถนนรามคำแหง ผมก็งงว่ามันไปโผล่ตรงนั้นได้ไง คงเป็นก็เพราะว่าแอพจับตำแหน่งผิดมั้ง ซักพักเค้าก็โทรกลับมา บอกให้ทราบว่าประชุมกับลูกค้าแถวหน้ารามเพิ่งเสร็จ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร ชวนกินข้าวกันตามปกติ แต่ที่แปลกคือ คืนนั้นผมขอเค้ามี Sex ด้วยแต่ถูกปฏิเสธ ก็เพราะว่าเค้าสนทนาว่าเหนื่อย ผมก็เลยหลับไปแทน
อีกไม่กี่วัน ผมก็ Login เข้า Find my iPhone เพื่อดูอีก ก็เจอไปขึ้นตำแหน่งเดิมอีก แต่ครั้งนี้แปลกใจมาก เพราะปกติแล้วแฟนผมจะไม่พบลูกค้าเจ้าเดิมเกินอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ผมก็ริเริ่มคิดเตลิด แล้วปลงใจขึ้นแท็กซี่ไปที่โรงแรมนั้น จังหวะที่ผมถึงหน้าโรงแรม
สิ่งที่ผมเห็นคือ รถของแฟนผมกำลังเลี้ยวออกมาจากโรงแรมนั้น แต่คนขับเป็นผู้ชาย แล้วมีแฟนผมนั่งข้างๆ ตอนนั้นบอกเล่าตรงๆครับว่าช๊อคมาก ทำอะไรไม่ถูก ลงมายืนแล้วหันกลับไปมองด้วยความงง จนคนขับแท็กซี่ต้องทวงค่ารถจากผม ผมใช้เวลายืนตรงนั้นอยู่นานแค่ไหนไม่รู้
พอตั้งสติได้ผมก็ขึ้นแท็กซี่กลับไปเอารถที่ออฟฟิศแล้วออกจากที่ทำงานไปหานั่งทำใจเลย รู้ตัวอีกทีก็ค่ำ กับเลยเวลาปกติที่เข้าบ้านแล้ว ก็เลยกลับบ้าน เค้าถึงบ้านแล้วครับ แวบแรกที่หมายทำตอนนั้นคือ ตะกลามบีบคอเค้าให้ตายไปเลย แต่พอเห็นหน้าลูกทั้ง 2 คนแล้วก็ตองยับยั้งใจ แล้วก็ทำตัวปกติถัดจากนั้น
ภายหลังวันนั้น ผมก็เช็คเค้าทุกวัน แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ที่ทำงานเค้าตลอด จนข้ามมาหมาย 1 อาทิตย์ ตอนเช้าที่กำลังออกจากบ้าน เค้าปริปากกับผมว่า วันนี้มีพาลูกค้าไปทานข้าวที่โรงแรมหนึ่งแถวริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผมก็ชี้ว่า โอเค จะได้รีบกลับมาช่วยแม่ดูลูก แต่ในใจคิดว่า จะลองตามดูซักครั้ง กะว่าจักให้คาหนังคาเขาเลย แล้วเรา 2 คนก็ต่างออกไปทำงาน พอตกบ่ายผมก็เกริ่นเช็ค Find my iPhone เรื่อยๆ จนซักประมาณการ 5 โมงเย็น ผมก็เห็นเค้าขึ้นต้นเดินทางออกจากที่ทำงาน ผมก็ตัดสินใจออกจากที่ทำงานเหมือนกัน
เพราะวันนั้นผมขอกู้ยืมรถของน้องที่ทำงานมาใช้ ผมขับมาดักเจอเค้าได้แถวๆ ลาดพร้าว แล้วแอบขับตามเรื่อยๆ จนถึงร้านอาหารหนึ่งบนเส้นรัชดา ผมขับตามไปถึงที่จอดรถ แล้วได้จอดอยู่ห่างเค้าไม่ไกลนัก พอเค้าจอดรถได้ แปปนึง ก็มีผู้ชายคนนึงเดินมาจากไหนไม่รู้ เดินมาหาเค้าที่รถแล้วเดินจับมือกันหายไปในทางเข้าร้านไป
ผมจำได้เลยว่าผู้ชายเป็นรุ่นน้องในเหล่าเดียวกัน ถ้าผมมีปืนตอนนั้น ผมคงต้องยิงมันตายทั้งคู่แน่นอนครับ แต่ผมอดใจไว้ ทำได้แค่พางถ่ายรูปไว้ก่อน ซักชั่วโมงกว่าๆ เค้าก็เดินจูงมือกลับมาที่รถกันครับ แล้วก็ออกรถไป ผมก็ขับตามอีก แล้วถ่ายรูปไว้เป็นระยะๆ เค้าขับมาไม่ไกลครับ แล้วก็เลี้ยวเข้าม่านรูดแห่งหนึ่งไป
ภาพนี้ทำผมน้ำตาไหลเลยครับ ในชีวิตนี้ผมไม่เคยคิดเลยครับว่า ผมต้องมาถูกคนที่ผมรักที่สุดมาหักหลังแบบนี้ ทั้งเจ็บใจ ทั้งเสียใจ อารมณ์ตอนนั้นบรรยายไม่ถูกแน่นอนๆครับ ผมไม่ประสงค์รอต่อแล้ว ก็เลยเอารถกลับไปเปลี่ยนกับน้องที่บ้านเค้าแล้วก็ดิ่งกลับบ้านทันที
ปางถึงบ้านแล้ว ลูกคนเล็กหลับแล้ว แต่คนโตยังไม่หลับ ผมเลยเอาลูกมากล่อมที่ห้องผมเอง (ปกติลูกคนโตจักนอนกับย่า แต่คนเล็กจักนอนกับผมที่ห้อง) พอผมมองหน้าลูกทั้ง 2 คน ผมยิ่งนำตาไหลออกมาอีกครับ ผมสงสารลูก ผมไม่ประสงค์ให้ลูกต้องมีครอบครัวที่แตกแยก
แต่ผมเองก็คงอยู่กับคนที่ทำกับผมแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว ตอนนั้นผมสับสนมากเลยครับ ว่าจักทำอย่างไรดี จนลูกถามว่า พ่อร้องไห้ทำไม ผมได้แต่เผยลูกว่าไม่มีอะไร แค่พ่อทำงานเหนื่อยเท่านั้นเอง ผมกล่อมลูกจนหลับแล้วก็นั่งรอเค้ากลับบ้าน
พอเค้าขึ้นถึงบนห้อง ผมก็เล่าเค้าว่าขอคุยกันข้างล่างแปบสิ เค้าก็ตอบแบบอารมณ์เสียว่าไม่ลง จะอาบน้ำนอนแล้ว มีอะไรค่อยคุยพรุ่งนี้ ผมสาธยายว่าพรุ่งนี้ไม่ได้ ต้องปัจจุบันนี้ ไม่ใคร่ได้ให้ลูกรู้ เค้าก็ไม่ยอมแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำ
ผมจึงหยิบโทรศัพท์ลงไปข้างล่าง แล้วทยอยส่งรูปที่ผมถ่ายได้ ลงใน Line ของเค้าแล้วเปิดทีวีรอข้างล่าง หลังจากผมได้ยินเสียงเค้าเดินเข้าห้องได้ไม่นาน เค้าก็เดินลงมาพร้อมกับน้ำตา มาถึงตัวผมแล้วก็กอด ร้องไห้พร้อมขอโทษไป อารมณ์ผมตอนนั้นบอกตรงๆว่า มันไม่เหโจษความสงสารแล้วครับ สิ่งที่เค้าทำมันเกินกว่าที่ผมจักทนได้ ผมจึงผลักตัวเค้าออกไป แล้วเผยว่าผมมุ่งหมายรู้เรื่องทั้งหมด
แฟนผมเค้าเกริ่นเล่าว่า เรื่องมันเกินช่วงที่เค้าไป Outing กับบริษัท แล้วช่วงปาร์ตี้ก็ดื่มแล้วเมา แล้วก็เผลอไปมีอะไรกับน้องในหมู่ มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ พร้อมกับใช้คำว่าผมให้เค้าได้ไม่พอ เค้าเลยต้องมีทางออกแบบนี้
จากนั้นเค้าก็ขอโทษแล้วรับปากว่าจะไม่ทำอีก ผมฟังจบแล้วรู้สึกขยะแขยงมากครับ ผมทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวมีความสุข แต่ผลตอบรับกลับมามันช่างไม่สมเหตุผลเลยครับ ผมเลยคุยกับเค้าว่า ผมไม่ยกโทษให้ เพราะว่าผมพูดกับเค้าบ่อยๆตลอดชีวิตคู่ว่า ผมรับได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องนี้ แต่เค้าก็ยังมาทำอีก
ผมยกโทษให้ไม่ได้แน่นอนๆ ผมก็บอกกล่าวเค้าต่อว่า ผมตะกลามเลิกกับเค้า แต่ผมสงสารลูก ผมจึงขอเค้าว่า ให้เราแสร้งทำเป็นอยู่ด้วยกันตามปกติได้มั้ย เพราะคิดว่าลูกทั้ง 2 ยังเล็กเกินกว่าจะรู้เรื่องแบบนี้ และไม่ตะโกรงให้เค้าขาดคนใดคนหนึ่งไป
โดยผมจะทนทำเป็นปกติกับเค้าเท่าที่อยู่ต่อหน้าลูก แต่ความสุทธิแล้วผมจักแยกใช้ชีวิตกับเค้า ส่วนบ้านที่ผ่อนอยู่ด้วยกันค่าใช้จ่ายในบ้าน ผมจะจ่ายไปตามปกติ แต่คราวผ่อนหมดจะใส่เป็นชื่อลูกทั้ง 2 ทันที ค่าใช้จ่ายลูกก็หารครึ่ง พร้อมกับตราบลูกเข้าถึงมัธยม ถึงจักตกลงใจแจ้งให้ทราบลูกอีกครั้ง เพราะจะทูลทีละคน คนโตก็อีกไม่กี่ปี
แต่คนเล็กก็อีกเป็น 10 ปี ซึ่งแสดงตรงๆครับว่าผมก็ไม่รู้ว่าจักอดทนได้ถึงวันนั้นหรือไม่เปล่า แต่ผมไม่มีทางกลับไปคืนดีกับเค้าแน่นอนครับ เค้าฟังเสร็จก็จะไม่ยอม พยายามจักง้อผมให้คืนดีให้ได้ ผมจึงพูดกับเค้าว่า ถ้าไม่ตกลง ก็คงต้องพังกันหมดในวันนี้พรุ่งนี้เลย สุดท้ายเค้าจึงยอมครับ
เรื่องนี้เกิดมาเกือบครึ่งปีแล้ว ชีวิตที่ทะลวงมา คนภายนอกจะเห็นว่าเหมือนเดิมครับ แต่จะมีพาง 3 คนในโลกนี้ที่รู้คือ ผม เค้า พร้อมกับแม่ผมเท่านั้น ก็เพราะว่าผมยังอยู่บ้านเดียวกัน นอนห้องเดียวกัน แต่เค้าจะนอนบนเตียงกับลูกคนเล็ก ส่วนผมปูเบาะนอนข้างล่างข้างเตียง (ลูกคนโตเคยถามว่าทำไมพ่อต้องปูเบาะนอนด้วย ผมตอบเค้าไปว่า น้องนอนดิ้นถีบพ่อบ่อย พ่อเลยต้องลงมานอนข้างล่าง) พาลูกไปเที่ยวตามปกติ ถ่ายรูปตามที่ลูกสั่ง เพื่อให้ทุกอย่างดูปกติที่สุด
วันไหนที่ทนไม่ไหว ก็ไปนั่งคุยกับแม่แล้วร้องไห้ไป ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง ผมไม่เคยเข้าไปดู Find my iPhone อีกเลยครับ ก็เพราะว่าเค้าจะไปไหนก็เป็นเรื่องของเค้า เค้าก็พยายามมาพูดเรื่อยๆว่าไม่ได้ยุ่งกันแล้วนะ บางวันก็พยายามลงมานอนข้างผม ผมก็ลุกหนีลงมานอนชั้นล่าง แรกๆก็เจ็บปวดครับ แต่เดี๋ยวนี้ความเจ็บปวดตั้งต้นหายไป กลายเป็นความชินชาแล้วล่ะครับ
ผมก็ถามตัวเองเสมอว่าทำไมเรื่องแบบนี้มันถึงเกิดกับผม เป็นก็เพราะว่าผมทำงานหนักมากเพื่อแลกกับเงินมากเกินไปใช่ไหมเปล่า เหรอว่าเทคโนโลยีทำให้ผมต้องเจอกับสิ่งนี้ ถ้าไม่มีมันผมก็คงไม่รู้เรื่องแบบนี้
เค้าเบื่อก็เลิกมาอยู่กับผมเองหรือไม่เปล่า แต่ไม่เคยมีคำตอบครับ ครั้งนี้คำตอบผมมีอย่างเดียวคือทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกทั้งสองของผมมีชีวิตที่สมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้ว่าผมจะเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม
ขอบคุณมากครับที่รับฟังการระบายของผม ผมไม่ทำเป็นให้คนรู้จักรู้เรื่องนี้ได้สุทธิๆ แต่พอเก็บไว้มันก็อึดอัด การได้พิมพ์ออกมาเป็นตัวหนังสือ ก็ช่วยได้หน่อยนึง ส่วนทุกความเห็นผมขอขอบคุณล่วงหน้าครับ ผมคงได้แต่อ่าน แต่คงไม่ขอตอบอะไรทั้งสิ้นจากที่ได้แจ้งไปข้างต้นครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณที่มา: คุณ สมาชิกหมายเลข 1950451 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com